ไทยคมรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2565
กำไรครึ่งปีแรกจากธุรกิจหลัก 338 ล้านบาท พลิกฟื้นจากขาดทุน 106 ล้านบาทในปีก่อน และ Q2/2565 มีกำไรจากธุรกิจหลัก 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% QoQ
กรุงเทพมหานคร, 5 สิงหาคม 2565 – บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (“THCOM” หรือ “บริษัท”) ผู้ให้บริการดาวเทียมไทย รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2565 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565
ไตรมาสที่ 2/2565 บริษัทมีกำไรจากธุรกิจหลัก (กำไรจากการดำเนินงานซึ่งไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนจากการร่วมค้า และรายการพิเศษอื่น) อยู่ที่ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2565 (QoQ) จำนวน 138 ล้านบาท จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างต้นทุนจากการสิ้นสุดลงของสัมปทานดาวเทียม ซึ่งทำให้ต้นทุนค่าเสื่อมราคาดาวเทียมและต้นทุนค่าสัมปทานลดลง รวมทั้งสามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิจากธุรกิจหลักของบริษัทในไตรมาสที่ 2/2565 พลิกฟื้นจากผลขาดทุนในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 86 ล้านบาท และสำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีผลกำไรสุทธิ จากธุรกิจหลักเป็นจำนวน 338 ล้านบาท พลิกฟื้นจากผลขาดทุนจำนวน 106 ล้านบาทในปีก่อน
ในช่วงไตรมาสที่ 2/2565 บริษัทได้ประโยชน์จากเงินบาทไทยที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐเนื่องจากมีสินทรัพย์ที่เป็นเงินสกุลดอลล่าร์มากกว่าหนี้สิน ซึ่งทำให้บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวน 229 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2/2565 มีจำนวน 309 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 511% จากไตรมาส 1/2565 (QoQ) และปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิ ในไตรมาสที่ 2/2564 (YoY) จำนวน 41 ล้านบาท และสำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีผลกำไรสุทธิจากธุรกิจหลักเป็นจำนวน 360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 413% จากผลกำไรสุทธิจำนวน 70 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564
ทั้งนี้ ไทยคมมีรายได้จากการขายและการให้บริการสำหรับไตรมาส 2/2565 จำนวน 737 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2565 (QoQ) จากการให้บริการลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทได้รับค่าบริการบางส่วนที่อ้างอิงกับสกุลเงินดอลล่าร์ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) รายได้ของบริษัทในไตรมาส 2/2565 ปรับตัวลดลง 7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 1,427 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักจากการลดลงของลูกค้าบรอดคาสต์ในประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
ในไตรมาส 2/2565 บริษัทร่วมกับ NXT Digital Limited (NDL) ซึ่งเป็นบริษัทในสายธุรกิจ Media & Digital ในเครือ Hinduja Group หนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ โดยบริษัทจะร่วมมือกับ OneOTT Intertainment Limited (OIL) บริษัทในเครือสายธุรกิจบรอดแบนด์ของ NDL เพื่อการให้บริการบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียม (Broadband-over-satellite) ในประเทศอินเดีย ซึ่ง OIL เป็นผู้นำด้านการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอินเดียด้วยฐานลูกค้ามากกว่า 1 ล้านราย การให้บริการบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียมจะช่วยเสริมศักยภาพการให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลและพื้นที่ส่วนที่เครือข่ายการสื่อสารยังไม่เพียงพอ
ประเทศอินเดียเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญสำหรับบริษัท มีโอกาสทางธุรกิจสูง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวาง มีหลายพื้นที่ที่เครือข่ายการสื่อสารไม่เพียงพอหรือไม่สามารถเข้าถึงได้ จึงเหมาะกับการให้บริการบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียม โดยความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้ นอกจากการสร้างโอกาสทางธุรกิจสำหรับดาวเทียมไทยคม 4 แล้ว ยังรวมถึงความเป็นไปได้ในการใช้ช่องสัญญาณเพิ่มเติม จากดาวเทียมแบบ high-throughput (HTS) ดวงใหม่ เพื่อรองรับปริมาณการใช้งานในประเทศอินเดียที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต บริษัท และ NDL วางเป้าหมายในการร่วมกันพัฒนา global emerging solutions ต่างๆ เพื่อใช้ในประเทศอินเดีย อาทิ โซลูชั่นจากดาวเทียม AI ซึ่งนำข้อมูลจากเทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้เพื่อการเกษตรและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงบริการ Wi-Fi และโดรนที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเขตชนบทของอินเดีย โดย NDL และไทยคมมีแผนจะร่วมมือกันจัดตั้ง Centre for Excellence เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมและดิจิทัลที่ใช้ข้อมูลจาก AI และ Analytics
นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดตัวโครงการพัฒนาระบบติดตามตัวเพื่อความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนา IoT (Internet of Things) Solutions ร่วมกับ บริษัท โกลบอลสตาร์ (Globalstar) ผู้ให้บริการระดับโลกด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมจากกลุ่มดาวเทียมวงโคจรระดับต่ำ หรือ LEO (Low Earth Orbit Satellite) โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการจัดการด้านความปลอดภัยสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมถึงอุตสาหกรรมทางทะเล พร้อมตอบรับนโยบายภาครัฐในการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง นำร่องในจังหวัดภูเก็ต ก่อนขยายสู่พื้นที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
ระบบติดตามผ่านดาวเทียมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวนี้ จะเป็นอุปกรณ์ที่ติดไว้บนเสื้อชูชีพ ซึ่งจะทำการแจ้งเตือนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือประสบเหตุอันไม่พึงประสงค์ เช่น นักท่องเที่ยวตกน้ำ อุปกรณ์ที่ติดไว้ในเสื้อชูชีพจะระบุพิกัดของนักท่องเที่ยวและส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน นักท่องเที่ยวยังสามารถกดปุ่ม S.O.S. ที่อยู่บนเครื่อง เพื่อขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที โดย โครงการดังกล่าวเป็นการต่อยอดจากข้อตกลงความร่วมมือกับ โกลบอลสตาร์ ในการพัฒนาและบริหารจัดการสถานีภาคพื้นดินเพื่อเป็นโครงข่ายในการให้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียมในภูมิภาคที่ได้บรรลุข้อตกลงในไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา
ในส่วนของกลุ่มบริษัทในเครือ บริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (แอลทีซี) ในประเทศลาว มีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในระบบรวมทั้งสิ้น 2.16 ล้านราย และยังคงมีส่วนแบ่งในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นอันดับหนึ่ง โดยแอลทีซี มีการฟื้นตัวที่ดีเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีการเติบโตของกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นจากการเปิดตัวแบรนด์ T-PLUS และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลเพิ่มเติม:
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
โทร: +66 2-596-5060
อีเมล: [email protected] / [email protected]
แชร์ข่าวนี้: